ปัจจัยในการควบคุมคุณภาพของงานเลเซอร์ตัดเหล็กทั้งงานหนา - งานบาง
ในงานเลเซอร์ตัดเหล็กนั้น การตัดชิ้นงานที่มีความหนาหรือความบาง ย่อมมีวิธีการและปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป การเลือกใช้อุปกรณ์และวิธีการใช้เลเซอร์ตัดเหล็กให้ถูกต้องเหมาะสมกับขนาดความหนาและความบางของวัสดุ จึงเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก เพื่อให้ได้ชิ้นงานเลเซอร์ตัดเหล็กที่มีขอบตัดสวยไม่เป็นริ้วคลื่น ไม่มีขี้เหล็กหรือมีขี้เหล็กน้อย องศาในการการตัดถูกต้อง และไม่มีครีบที่เกิดจากการหลอมละลายของเหล็กหรือโลหะใรระหว่างการตัด
ปัจจัยที่ช่วยให้งานเลเซอร์ตัดเหล็กมีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นการตัดชิ้นงานที่มีความหนาหรือชิ้นงานที่บาง
- กำลังตัดของเลเซอร์ตัดเหล็ก
กำลังวัตต์หรือกำลังตัดของเครื่องเลเซอร์ตัดเหล็ก เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามารถตัดชิ้นงานที่มีความหนาหรือความบางได้อย่างเหมาะสม ยิ่งเครื่องเลเซอร์ตัดเหล็กมีกำลังวัตต์ที่สูง ก็จะยิ่งสามารถตัดเหล็กชิ้นหนาได้ดีมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องเครื่องเลเซอร์ตัดเหล็กให้ตรงกับความหนา-บางของวัสดุ
สำหรับเครื่องเลเซอร์ตัดเหล็กแบบ CO2 นั้น จะมีกำลังวัตต์อยู่ที่ 2-4 กิโลวัตต์ ซึ่งสามารถตัดเหล็กและโลหะอื่น ๆ ที่มีความหนาได้ไม่เกิน 25 มิลลิเมตร และเครื่องเลเซอร์ตัดเหล็ก CO2 ที่มีกำลังวัตต์ 6 กิโลวัตต์ ที่เหมาะสำหรับการตัดงานโลหะชิ้นหนาหรืองานขนาดใหญ่อย่างงานเชื่อมประกอบและขึ้นรูปโลหะต่าง ๆ เช่น งานโครงสร้างหรืออุปกรณ์ภายในโรงงานอุตสาหกรรม
ส่วนเครื่องเลเซอร์ตัดเหล็กแบบไฟเบอร์เลเซอร์ จะมีกำลังวัตต์เริ่มตั้งแต่ 6 กิโลวัตต์, 8 กิโลวัตต์, 12 กิโลวัตต์, 15 กิโลวัตต์ และ 20 กิโลวัตต์ ซึ่งเป็นกำลังวัตต์ของเครื่องเลเซอร์ตัดเหล็กที่สามารถตัดงานที่มีความหนาตั้งแต่ 20 มิลลิเมตรขึ้นไปจนถึงงานที่มีขนาดหนามากอย่างงานเชื่อมประกอบและขึ้นรูปโลหะ เลเซอร์ตัดเหล็กแบบไฟเบอร์นี้ ใช้ได้ดีทั้งการตัดงานหนาและงานบาง
ข้อเสียของการเลือกกำลังวัตต์ของเครื่องเลเซอร์ตัดเหล็กไม่เหมาะกับความหนาของวัสดุ คือหากกำลังไฟของเลเซอร์ตัดเหล็กมีไม่มากพอ ก็จะทำให้ตัดชิ้นงานไม่ขาดและได้ผิวงานที่ไม่เรียบ
- ช่วงเลนส์ของเลเซอร์ตัดเหล็ก
ควรเลือกช่วงเลนส์ของเลเซอร์ตัดเหล็กให้เหมาะสมกับความหนาหรือความบางของชิ้นงาน เช่น หากตัดงานที่วัสดุมีความหนามาก ๆ ควรเลือกเลนส์ของเลเซอร์ตัดเหล็กที่มีค่า FF 150-200 เพื่อรักษาระยะห่างระหว่างชิ้นงานและหัว Nozzle และเพื่อควบคุม Focal Point หรือจุดที่แนวของแสงเลเซอร์ตัดเหล็กลู่เข้าหากัน ให้อยู่ในระยะที่พอดี ซึ่งจะทำให้ได้แนวตัดที่หนาบางต่างกัน และทำมุมต่างกันด้วย ยิ่งหากต้องการแนวตัดที่ได้มุมฉาก 90 องศา ก็ควรปรับ Focal Point ให้มีความแคบมากที่สุด
- ระยะโฟกัสของเลเซอร์ตัดเหล็ก
ระยะของเลเซอร์ตัดเหล็กมีความแตกต่างกันไปตามความหนาและความบางของวัสดุที่นำมาตัด หากวัสดุที่นำมาตัดเป็นวัสดุที่มีความบาง ระยะโฟกัสจะต้องเท่ากับศูนย์ ซึ่งนั่นก็คือการที่จุดโฟกัสของเลเซอร์ตัดเหล็กอยู่ที่ระดับพื้นผิวของวัสดุพอดีนั่นเอง เพื่อให้แสงเลเซอร์ตัดเหล็กมีความหนาแน่นมากที่สุด ส่วนการใช้เลเซอร์ตัดเหล็กที่มีความหนา ระยะโฟกัสจะเท่ากับ + ซึ่งคือการที่จุดโฟกัสจะถูกยกสูงขึ้นจากวัสดุ ซึ่งการปรับระยะโฟกัสของเลนส์เลเซอร์ตัดเหล็กให้เหมาะสม จะช่วยให้ได้ชิ้นงานได้สวยแม่นยำมากขึ้น และไม่เสียผิวตัดด้านล่างมากเกินไป
- ความร้อนของเลนส์เลเซอร์ตัดเหล็ก
ในระหว่างการใช้เลเซอร์ตัดเหล็กที่มีความหนา อาจต้องใช้เวลาตัดนานกว่างานบาง จึงทำให้เลนส์ได้รับความร้อนจากแก๊สมากเกินไป และหากไม่มีการหยุดพักเลนส์ ก็จะทำให้ระยะโฟกัสที่ตั้งไว้ เกิดความผิดเพี้ยนขึ้นได้ หากตัดชิ้นงานที่มีความหนา ควรหยุดพักเลนส์เป็นระยะ หรือเลือกใช้เครื่องเลเซอร์ตัดเหล็กที่มีระบบปรับโฟกัสอัตโนมัติเมื่อเลนส์เกิดความร้อน
- การเลือกใช้ Nozzle ของเลเซอร์ตัดเหล็ก
Nozzle คืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับควบคุมการปล่อยแก๊สของเลเซอร์ตัดเหล็ก มีลักษณะเป็นทรงกรวยมุมป้านคล้ายลูกข่าง และมีรูอยู่ตรงกลางเพื่อส่งผ่านลำแสงเลเซอร์ตัดเหล็กและแก๊สไปยังชิ้นงานโลหะที่ต้องการตัด โดย Nozzle จะมีทั้งหมด 2 ประเภท ได้แก่ Single-layer Nozzle ที่ด้านในของรูตรงกลางมีวงชั้นเดียว และอีกประเภทคือ Double-layer Nozzle ที่ด้านในของรูตรงกลางจะมีวงสองชั้นซ้อนกัน ซึ่งความแตกต่างในการใช้ Nozzle นั้น คือขนาดของรูตรงกลางและประเภทของ Nozzle ควรเลือกขนาดรูของ Nozzle ให้เหมาะกับความหนาของวัสดุที่ต้องการจะตัด เช่น หากวัสดุที่ต้องการตัดมีความหนา ก็ควรเลือกใช้ Nozzle ที่มีรูขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถปล่อยลำแสงเลเซอร์ตัดเหล็กและแก๊ซขนาดใหญ่ได้
วิธีตรวจสอบคุณภาพของงานเลเซอร์ตัดเหล็กทั้งงานหนาและงานบาง
- งานเลเซอร์ตัดเหล็กนั้น ไม่ว่าจะเป็นการตัดชิ้นงานที่หนาหรือบาง ก็มีคุณภาพมาตรฐานที่สามารถตรวจสอบได้หลังตัดชิ้นงาน
- ความเรียบของผิวตัด ต้องไม่ขรุขระ ไม่มีขี้เหล็กหรือน้ำเหล็กบนผิวชิ้นงานเลเซอร์ตัดเหล็ก
- ความตรงของผิวงานเลเซอร์ตัดเหล็ก ที่ตัดแล้วควรได้มุม 90 องศา
- ความกว้างของรอยตัด หรือ Kerf Width ไม่ควรกว้างเกินไป เพราะจะทำให้เสียเนื้อวัสดุไปเปล่า ๆ
- งานเลเซอร์ตัดเหล็กไม่มีครีบด้านล่างหรือ Dross and Burr ที่ด้านหลังชิ้นงาน ซึ่งเกิดมาจากการหลอมละลายของวัสดุ
- งานเลเซอร์ตัดเหล็กสามารถตัดมุมแหลมคมหรือมุม 45 องศาได้ดี
- วัสดุไม่เสียรูปจากความร้อนที่ใช้ในการทำเลเซอร์ตัดเหล็ก
และหากคุณกำลังมองหาโรงงานเลเซอร์ตัดเหล็กที่ได้คุณภาพ สามารถตัดเหล็กได้ทั้งงานหนาและบาง พี แอนด์ เอส สเตนเลสสตีล เซ็นเตอร์ ก็พร้อมให้บริการคุณด้วยเครื่องเลเซอร์ตัดเหล็กที่ทันสมัย ควบคุมด้วยระบบ CNC และดูแลการทำงานโดยช่างผู้มีประสบการณ์ เพื่อให้ชิ้นงานเลเซอร์ตัดเหล็กของคุณออกมาสวยงามได้คุณภาพและตรงตามแบบ
ติดต่อสอบถามรายละเอียดสแตนเลสสั่งทําเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่
บริษัท พี แอนด์ เอส สเตนเลสสตีลเซ็นเตอร์ จำกัด
Tel : 081-618-0778, 081-615-4296, 082-782-8654, 02-753-7753
Fax : 02-753-7770
Email : pands_stainless@yahoo.com
LINE : @psmetal
Facebook : @psstainlesssteel