ReadyPlanet.com




ทฤษฎีเกม

 

สวัสดีครับ ฉบับนี้เรามาคุยกันเรื่องที่ผมพยายามจะเขียนเรื่องนี้หลายครั้ง แต่เขียนยังไงก็ทำให้สั้นๆจบในตอนไม่ได้ซะที สุดท้ายเลยคิดว่า อาจจะต้องแบ่งเป็น 2 หรือ 3 ตอนนะครับ

ทฤษฎีเกม เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตัดสินใจในสถานการณ์หนึ่งๆโดยมีเงื่อนไขที่ผูกอยู่กับการตัดสินใจของผู้อื่นที่ร่วมเล่นเกมอยู่ด้วย ผู้ที่บุกเบิกทฤษฎีนี้ คือ จอน ฟอนน์ นิวแมน และ ออสการ์ มอร์เกินสเติร์น ในปี 1944 และ ได้ถูกพัฒนาอย่างก้าวกระโดดอีกครั้งในอีก 50 ปีต่อมา โดย จอห์น เอฟ แนช ซึ่งเรื่องของ ศ. จอห์น แนช นี้ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วย ชื่อ A Beautiful Mind นำแสดงโดย รัสเซลล์ โครว์

อันที่จริงแล้ว ลักษณะสถานการณ์ของทฤษฎีเกม เป็นสิ่งที่เราเจอะเจออยู่เป็นประจำแทบทุกวัน เพียงแต่อาจจะไม่ได้คิดแจกแจงออกมาเป็นระบบในรูปแบบที่จะเอื้อให้เราตัดสินใจได้ดีที่สุดในสภาพการณ์นั้นๆ

เรามาเริ่มตั้งแต่พื้นฐานกันก่อนเลยนะครับ เป็นตัวอย่างสุดคลาสสิคของทฤษฎีเกม ที่ชื่อว่า ความลำบากใจของนักโทษ (Prisoner’s Dilemma) สถานการณ์มีอยู่ว่า ตำรวจจับผู้ต้องหาได้ 2 คน คือ นาย ก. และ นาย ข. ผู้ต้องหาสองนายนี้ถูกจับแยกไปสอบปากคำเพื่อไม่ให้ได้ยินคำตอบของอีกคนหนึ่ง ทางเลือกของแต่ละคน คือ 1. ไม่รับสารภาพ 2. รับสารภาพว่ากระทำผิดร่วมกัน กรณีและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ 1. ถ้าทั้งสองไม่รับสารภาพ ทางตำรวจจะไม่มีหลักฐานและตั้งข้อหาได้เพียงเล็กน้อยคือ จำคุกคนละ 1 ปี 2. หากคนใดคนหนึ่งรับสารภาพและอีกคนไม่รับสารภาพ คนที่รับสารภาพจะไม่ต้องรับโทษและถูกกันตัวเป็นพยาน ส่วนคนที่ไม่รับจะโดนโทษจำคุก 10 ปี และ 3. หากทั้งคู่รับสารภาพ ศาลจะลดโทษให้ครึ่งหนึ่งเหลือจำคุกคนละ 5 ปี ซึ่งกรณีทั้งหมดนี้ เราสามารถเขียนออกมาเป็นตารางได้ดังนี้

 

นาย ก.\ นาย ข.

รับสารภาพ

ไม่รับสารภาพ

รับสารภาพ

(5,5)

(0, 10)

ไม่รับสารภาพ

(10,0)

(1,1)

ตัวเลขในวงเล็บ= (โทษนาย ก., โทษนาย ข.)

 

เมื่อพิจารณาจากทางเลือกที่มีอยู่ ผู้ต้องหาแต่ละคนจะพบว่า ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเลือกอะไรก็ตาม หากตนเลือกรับสารภาพตนจะได้รับโทษน้อยกว่า พูดให้ชัดๆก็คือ ถ้ารับสารภาพไป อย่างมากก็ติดคุก 5 ปีด้วยกันทั้งคู่ และถ้าอีกฝ่ายไม่รับสารภาพ ตนก็เป็นอิสระ ซึ่งเทียบกับอีกทางหนึ่ง คือ ไม่รับสารภาพ ก็จะติดคุกแน่ๆ 1 ปี ซ้ำร้ายถ้าโดนหักหลังอาจจะติดคุก 10 ปี ทางเลือกที่รับสารภาพจึงเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละคน ในทฤษฎีเกม เรียกว่า “กลยุทธ์เด่น” คือ ทางเลือกที่จะได้ประโยชน์สูงสุดไม่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะเลือกอะไรก็ตาม

ซึ่งอันที่จริงแล้ว หากผู้ต้องหาทั้งสองสามารถปรึกษากันได้ โอกาสที่เป็นไปได้สูงคือ ทั้งคู่เลือกไม่รับสารภาพ ซึ่งจะทำให้ได้รับโทษรวมน้อยที่สุด คือ คนละ 1 ปี แต่เนื่องจากทั้งคู่ไม่ทราบว่า อีกฝ่ายหนึ่งจะเลือกอะไรและเกรงว่าอีกฝ่ายจะหักหลัง ทั้งสองก็จะเลือกกลยุทธ์เด่นที่ส่งผลให้ตนได้ประโยชน์สูงสุด และทำให้กรณีที่ทั้งคู่รับสารภาพเป็นจุดสมดุลของสถานการณ์นี้ เรียกว่า จุดสมดุลของแนช

ในทฤษฎีเกมนั้น มีการจำลองรูปแบบสถานการณ์หลายๆรูปแบบ สถานการณ์ต่างๆนั้น ในบางครั้ง อาจจะมีแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่มีกลยุทธ์เด่น หรือ อาจจะไม่มีกลยุทธ์เด่นเลย และจุดสมดุลของแนช อาจจะมีมากกว่าหนึ่งจุด  

ทฤษฎีเกม ทำให้เราสามารถวางแผนและวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างเป็นระบบ ในทางปฏิบัติแล้ว ทฤษฏีนี้ได้มีการประยุกต์เอาไปใช้ในหลายสาขา

คราวนี้ลองดูอีกสักตัวอย่างหนึ่ง เรียกว่า เกมไก่ตื่น (chicken) คำว่า chicken ในที่นี้ เป็นสแลงอเมริกัน หมายถึง ขี้ขลาด ใจเสาะ,  ซึ่งชื่อเกมนี้ก็มาจากเกมพิสูจน์ความใจถึงของสองคน (ผู้เล่นเกม) โดยการขับรถพุ่งเข้าหากัน ถ้าใครเป็นฝ่ายที่หักหลบไปก่อนก็จะถือว่าแพ้ และถูกตราหน้าว่า chicken ถ้าไม่มีใครหลบรถก็จะชนกันและเสียหายทั้งคู่

 

ทีนี้เรามาดูกรณีและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกันครับ จะเขียนออกมาได้ดังนี้

 

นาย A \ นาย B

หลบ

ไม่หลบ

หลบ

(0,0)

(-1,+1)

ไม่หลบ

(+1,-1)

(-10,-10)

ตัวเลขในวงเล็บคือ ผลประโยชน์ของ A,B

จะเห็นว่า ในเกมนี้ไม่มีกลยุทธ์เด่น พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่มีทางเลือกในลักษณะที่ว่า ทางเลือกนั้นเหนือกว่าอีกทางเลือกที่เหลือเสมอไม่ว่าอีกฝ่ายจะเลือกอะไร  อันที่จริงแล้ว ลักษณะของเกมนี้ก็คล้ายกับเกมความลำบากใจของนักโทษ แต่ที่ต่างกันคือ ต่างฝ่ายต่างต้องการจะเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่ง ทางเลือกที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดร่วมกันคือ หลบทั้งคู่ จึงเป็นทางเลือกที่แต่ละฝ่ายไม่อยากจะเลือก

อีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นไปได้ คือ เกมแห่งความร่วมใจ ลักษณะของเกมนี้ คือ ทั้งสองฝ่ายจะได้ประโยชน์สูงสุด หากทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมมือกัน ตัวอย่างสถานการณ์ลักษณะนี้ เช่น ผู้เล่นสองคนต้องการเลือกล่าสัตว์ชนิดหนึ่งระหว่างกวางกับกระต่าย ซึ่งกวางมีราคาดีกว่ากระต่ายมาก แต่การล่านั้นยากกว่ามาก จำเป็นต้องใช้สองคนร่วมมือกันจึงจะล่าได้ ในขณะที่กระต่ายมีราคาต่ำแต่ล่าได้ง่าย สามารถล่าได้โดยใช้เพียงคนเดียว

ผลประโยชน์ที่แต่ละฝ่ายจะได้รับสามารเขียนออกมาได้ดังนี้

นาย C \ นาย D

ล่ากวาง

ล่ากระต่าย

ล่ากวาง

(+10,+10)

(0,+5)

ล่ากระต่าย

(+5,0)

(+5,+5)

ตัวเลขในวงเล็บคือ ผลประโยชน์ของ C,D

 

ในเกมนี้ก็จะไม่มีกลยุทธ์เด่นเช่นกัน ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายจะได้รับประโยชน์สูงสุด ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายมาร่วมมือกันทำงานที่ไม่สามารถทำคนเดียวได้ ลักษณะของเกมประเภทนี้เป็นลักษณะที่พบได้บ่อยมากในชีวิตประจำวัน หรือในการทำธุรกิจ เพียงแต่ว่าในความเป็นจริงสิ่งที่จะทำให้ไม่เกิดความร่วมมือร่วมใจกัน คือ ความไว้ใจซึ่งกันและกัน

ลองสมมติว่า เป็นองค์กรธุรกิจสองบริษัทก็ได้นะครับ สมมติว่า เป็นบริษัท E กับ F ทั้งสองเป็นบริษัทที่ขายสินค้าอย่างเดียวกันและเป็นบริษัทใหญ่ที่ครองตลาดอยู่ เมื่อมีบริษัทใหม่ต้องการเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดโดยตั้งราคาต่ำกว่า ทั้งสองสามารถร่วมมือกันตั้งราคาใหม่ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตัวเองได้ ลักษณะนี้ครับ

 

บ.E \ บ.F

ลดราคา

ไม่ลดราคา

ลดราคา

(-1,-1)

(-4,-2)

ไม่ลดราคา

(-2,-4)

(-2,-2)

ตัวเลขในวงเล็บคือ ผลประโยชน์ของ E,F

 

การลดราคานั้นจะทำให้ได้กำไรน้อยลงแน่นอน แต่หากไม่ลดราคาจะทำให้บริษัทใหม่สามารถตั้งตัวได้ และถูกแย่งชิงตลาดบางส่วนไปในระยะยาว หากลดราคาทั้งคู่จะทำให้บริษัทใหม่ไม่สามารถแทรกตัวเข้ามาได้และทำให้ E และ F ยังครองตลาดอยู่ แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลดราคาก็จะเสียผลประโยชน์มากกว่าทั้งสองฝ่ายลดราคาเพราะบริษัทที่ไม่ลดราคาก็จะเสียตลาดไปส่วนหนึ่ง ส่วนบริษัทที่ลดราคาก็ยังต้องเสียตลาดส่วนหนึ่งให้บริษัทใหม่และยังได้กำไรน้อยลงอีกด้วย แต่หากไม่ลดราคาทั้งคู่ทั้งสองบริษัทก็จะเสียผลประโยชน์ไปเท่าๆกัน สถานการณ์ลักษณะนี้ก็เห็นได้ในธุรกิจสมัยนี้ทั่วไปนะครับที่แข่งกันด้านราคาจนไม่มีกำไรมากๆเหมือนสมัยก่อน ถ้ายังดื้อดึงตั้งราคาสูงๆก็ไม่มีใครซื้อ เพราะฉะนั้น วงการไหนที่ยังมีกำไรดีอยู่ก็จะมีคนโดดเข้ามาทำจนกำไรไม่ได้มากมายอะไร

            

                ในเดือนตุลาคม 1962 โลกอยู่ในจุดเสี่ยงสุดๆกับความหายนะนิวเคลียร์ สหภาพโซเวียตกำลังก่อตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ในคิวบา ซึ่งอยู่ห่างจากทวีปสหรัฐอเมริกาเพียง 145 กม. และฝ่ายอเมริกันสั่งให้ยกเลิกทันที ขีปนาวุธนิวเคลียร์เป็นการคุกคามที่ประธานาธิบดีเคเนดียอมไม่ได้ แต่เขาก็ทราบดีว่า การตอบสนองผิด ก็สามารถนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ และความตายเป็นจำนวนล้านๆ ที่ปรึกษาของเขาบางคนแนะให้เขาโจมตีทางอากาศอย่างหนัก เพื่อจัดการกับขีปนาวุธจำนวนหลายสิบบนคิวบาที่เล็งสู่สหรัฐอเมริกา ทว่า มันก็จะเสี่ยงต่อการยั่วยุให้สหภาพโซเวียตโจมตีสหรัฐอเมริกาด้วยขีปนาวุธเพราะไม่ยอมสูญเสียหัวระเบิดนิวเคลียร์ในคิวบา ที่ปรึกษาคนอื่นบางคนต้องการให้มีการปิดกั้นทางทะเล เพื่อป้องกันมิให้ขีปนาวุธส่งไปเพิ่มที่คิวบา และเรียกร้องให้มีการถอนกลับแต่บางคนก็เกรงว่าจะไม่ได้ผล

                ประธานาธิบดีเคนเนดี ตัดสินใจดำเนินการปิดกั้นทางทะเล ในขณะเดียวกันก็สั่งเตรียมการโจมตีคิวบา แต่ภายหลังการเจรจาอย่างเคร่งเครียด สหภาพโซเวียตยอมถอนกลับขีปนาวุธ และโลกก็สามารถเลี่ยงสงครามนิวเคลียร์ได้

                สถานการณ์นี้พอจะเขียนออกมาเป็นตารางได้ดังนี้

 

สหรัฐ \ โซเวียต

ไม่ยิงขีปนาวุธ

ยิงขีปนาวุธ

ไม่ยิงขีปนาวุธ

(+10,+10)

(-10,0)

ยิงขีปนาวุธ

(0,-10)

(-10,-10)

                                   (ผลประโยชน์สหรัฐ,โซเวียต)

 

จะเห็นได้ว่า จริงๆแล้วสถานการณ์ลักษณะนี้ ก็คือ สถานการณ์ของเกมแห่งความร่วมใจ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือ ไม่มีการใช้ขีปนาวุธ ซึ่งอันที่จริงแล้วทั้งสองฝ่ายต่างก็ทราบดีถึงประโยชน์จากการปลดอาวุธด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ในความเป็นจริงนั้น ไม่มีใครไว้ใจอีกฝ่ายหนึ่ง ผลลัพธ์ คือ ทั้งคู่ต่างทุ่มเทงบประมาณสะสมอาวุธที่พวกเขาหวังว่า จะไม่ต้องใช้

                จากตัวอย่างนี้เราจะเห็นได้ว่า ในชีวิตจริงนั้น ยังมีตัวแปรอีกมากมายเข้ามาเกี่ยวข้องต่อการตัดสินใจ ในส่วนนี้ก็มีนักวิชาการ ดร.ไนเจล โฮวาร์ด ซึ่งนำเอาบทบาทของอารมณ์เข้ามาอยู่ในทฤษฎีเกมด้วย เรียกว่า ทฤษฎีดรามา (Drama Theory) ผู้เล่นซึ่งพบว่า ตนเองติดอยู่ในเกมแบบหนึ่ง มักจะเปลี่ยนให้เป็นอีกเกมหนึ่งด้วยการตอบโต้ทางอารมณ์ ทฤษฏีดรามา พยายามพยากรณ์ผลที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น  ตนเองติดอยู่ในเกมแบบหนึ่ง มักจะเป

                นอกจากนี้ การประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ยังต้องตระหนักอยู่เสมอนะครับว่า ทางเลือกที่มีอยู่อาจจะไม่ได้มีแค่ในแบบจำลอง เราอาจหาทางเลือกอื่นๆได้อีกซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์สูงสุดกับทุกฝ่ายได้

อีกข้อสังเกตหนึ่งที่อยากจะพูดถึงคือ ทุกวันนี้ โลกเรากำลังเปลี่ยนไปในทางที่การร่วมมือกันจะให้ประโยชน์สูงสุดในลักษณะ win-win ไม่เหมือนสมัยก่อนที่จะออกไปในลักษณะที่มีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย การให้/การตอบแทนอะไรคืนแก่สังคมบ้าง ก็เป็นสถานการณ์ win-win อย่างหนึ่ง และเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำทั้งองค์กรและสังคมไปสู่ความยั่งยืน เรื่องนี้ถ้ามีโอกาส ผมจะเอามาคุยกันอีกทีครับ

 

เอาละครับ เดี๋ยวฉบับหน้าเราจะมาดูตัวอย่างที่ซับซ้อนมากขึ้น ฉบับนี้สวัสดีครับ

 

อ้างอิง th.wikipedia.org/wiki/ทฤษฎีเกม

อ้างอิง:  แมททิวส์, โรเบิร์ต. 25 ความคิด พลิกโลก (25 Big Ideas) ชัยวัฒน์ คุประตกุล แปล

ดร.อภิชาติ ชยานุภัทร์กุล

ผู้จัดการฝ่ายผลิต บจก. พี แอนด์ เอส สเตนเลสสตีล เซ็นเตอร์

ตีพิมพ์ในวารสารเพื่อนสเตนเลส ปีที่ 4 ฉบับที่ 42-44/ กันยายน-พฤศจิกายน 2552

 







[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (38436)
มันมีหนังสือที่แปลเป็นเล่มๆหรือเปล่าครับอยากได้เกี่ยวกับพวกทฤษฏีเกมส์
ผู้แสดงความคิดเห็น กูเอง วันที่ตอบ 2010-08-26 19:14:46



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล